ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU คาดเศรษฐกิจไทยเติบโต 3.0% สูงกว่าปี’67 คาดโต 2.8% แรงหนุนรายจ่ายและการลงทุนภาครัฐ-เอกชนกลับมา ท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น แนะจับตาสงครามการค้ารอบใหม่-ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ด้านเศรษฐกิจโลกคาดขยายตัว 3.2% แรงหนุนจากเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง จับตานโยบายกีดกันทางการค้า-เงินเฟ้อพุ่ง
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Mr.Methas Rattanasorn, Economist, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 TISCO ESU คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 3.0% สูงขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.8% ซึ่งยังไม่ได้รวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในการขึ้นภาษีของสหรัฐ โดยเครื่องยนต์ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะมีความสมดุลมากขึ้น
อาทิ การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการแจกเงิน 10,000 บาท รอบใหม่ที่น่าจะช่วยพยุงการบริโภคภายในประเทศ และสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงการท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องสู่ระดับใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโรคระบาด (Pre COVID Level) แม้จะชะลอตัวลงจากปีนี้ก็ตาม
ขณะที่นโยบายการเงิน มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเล็กน้อยราว 0.25% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 มาอยู่ที่ 2.00% เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะการเงินในประเทศที่มีความตึงตัวขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงรอบด้านโดยเฉพาะจากปัจจัยภายนอกประเทศ อีกทั้งคาดว่า ธปท.จะมุ่งเน้นการใช้นโยบายการเงินแบบตรงจุด (Targeted Policy) พร้อมกับการรักษาพื้นที่ในการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต (Policy Space) ด้วยท่าทีที่เป็นกลางต่อไป
ในด้านปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทย ให้น้ำหนักที่สงครามการค้ารอบใหม่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนในประเทศที่ทรงตัวในระดับสูงมายาวนาน รวมถึงคุณภาพของสินเชื่อที่ด้อยลงต่อเนื่อง ดังนั้น ต้องจับตาการแปลงสภาพของสินเชื่อที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) สู่การเป็นหนี้เสีย (NPL) โดยเฉพาะสินเชื่อหมวดยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-ล่าง เพราะอาจส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป
ขณะที่ประเด็นเรื่องการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ จะเป็นปัจจัยความท้าทายที่ต้องจับตา เพราะอาจกระทบกับเศรษฐกิจไทยราว 0.3-1.1 Percentage Point ของประมาณการ GDP ตลอดช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐจะตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นที่ระดับ 60% ตามที่หาเสียงไว้ได้หรือไม่ รวมถึงอัตราภาษีดังกล่าวจะถูกขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่น ๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา
ขณะที่เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แต่มีความเสี่ยงที่จะโน้มไปทางด้านต่ำ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ระดับ 3.2% โดยมีปัจจัยบวกมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาด (Exceptionalism)
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ สถานการณ์สงครามที่ยังไม่คลี่คลายทั้งในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะสร้างความไม่แน่นอนแก่ราคาพลังงานและเงินเฟ้อ รวมถึงทิศทางของนโยบายการเงินโลก นอกจากนี้ ในหลายประเทศที่รัฐบาลมีภาระหนี้สินในระดับสูง อาจหันมาลดการขาดดุลงบประมาณลง ซึ่งจะส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินได้
ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว (Advanced Economy) ส่วนใหญ่จะชะลอตัวลงจากประมาณการเดิม เช่นเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) ที่มีแนวโน้มชะลอลงจากหลายปัจจัย อาทิ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่กระทบต่อผลผลิต และความขัดแย้งภายในประเทศ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี อุปสงค์ต่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัวตามกระแสการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) จะหนุนให้เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชีย (Emerging and Developing Asia) ขยายตัวได้ต่อเนื่องตามการผลิตและการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่อง
ด้านนายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Thanathat Srisawast, Strategist, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวถึงมุมมองต่อราคาน้ำมันและตลาดตราสารหนี้ (Fixed Income) ว่า TISCO ESU มองว่าราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate Crude Oil (WTI) จะเคลื่อนไหวในระดับราว 80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลในปี 2568 ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ระดับประมาณ 76 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากแนวโน้มการผลิตน้ำมันในสหรัฐและบราซิลที่มีโอกาสเติบโตได้ช้ากว่าที่ตลาดคาด หลังราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับค่อนข้างต่ำจาก Sentiment ที่เป็นลบมาต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันปริมาณการผลิตน้ำมันจาก OPEC+ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 300,000-400,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งจะช่วยรักษาตลาดน้ำมันโลกในปี 2568 ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงสมดุลมากกว่าจะเกินดุล (Supply Surplus) อย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้แนวโน้มราคาน้ำมันไม่น่าจะลดลงรุนแรงอย่างที่ตลาดเป็นกังวล
นอกจากนี้ เราคาดว่ารูปแบบราคาสัญญาน้ำมันดิบ (Oil Futures Curve) จะยังคงลักษณะค่อนข้างเป็น Backwardation (สัญญาระยะสั้นมีมูลค่าสูงกว่าสัญญาระยะยาว) ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้นักลงทุนในสัญญา Futures ราคาน้ำมันได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบเพียงอย่างเดียว
ด้านตลาดตราสารหนี้ (Fixed Income) เรามีมุมมองค่อนข้างเป็นกลาง (Neutral) ต่อพันธบัตรระยะยาวในปี 2568 โดยคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี (US 10-Year Treasury Bond Yield) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 4.5-5.0% สะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อที่เริ่มกลับมาเร่งตัวขึ้นและมีโอกาสทรงตัวใกล้ระดับ 3% จากเงินเฟ้อในภาคบริการและที่อยู่อาศัย ที่ยังคงสูงและหนืดในระดับประมาณ 5%
ขณะที่คณะกรรมการ Fed ได้แสดงจุดยืนที่ไม่ต้องการใช้นโยบายการเงินเชิงตึงตัวอย่างหนัก เพื่อนำเงินเฟ้อกลับสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% โดยอาจต้องแลกกับการชะลอตัวลงอย่างมีนัยของเศรษฐกิจ แต่พยายามรักษาสมดุลระหว่างเป้าหมายเงินเฟ้อและการช่วยพยุงสภาพตลาดแรงงานไม่ให้อ่อนตัวลงมากเกินไป ทำให้สภาวะการเงินยังไม่เข้มงวดพอที่จะกดเงินเฟ้อลงต่ำกว่า 3%
เราจึงมองว่าสภาวะ “No Landing” (ภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตในระดับใกล้เคียงหรือสูงกว่าศักยภาพ และเงินเฟ้อยังสูงกว่าระดับเป้าหมาย) จะยังคงดำเนินต่อไปในปี 2568 ส่งผลให้ Fed มีข้อจำกัดในการลดดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำกว่า 4% และมองว่า Valuation ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในพันธบัตรระยะยาวคือเมื่อ Bond Yield อยู่ที่ระดับประมาณ 4.5% หรือสูงกว่า
อ่านข่าวต้นฉบับ: ทิสโก้คาดจีดีพีไทยปี‘68 โต 3% ลงทุนภาครัฐ-เอกชนหนุน จับตาหนี้ครัวเรือนสูง