TISCO ESU แนะลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย-ธนาคารเด่น รับแรงหนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจเร่งตัวขึ้น พร้อมชี้เป้าตลาดหุ้นไทยปี‘68 ที่ระดับ 1,550 จุด
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Economic Strategy Unit, TISCO Economic Strategy Unit) กล่าวว่า คาดว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกผันผวนมากขึ้นจากปัจจัยด้านนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่คาดเดาได้ยาก เช่น มาตรการกีดกันการค้า การตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันระหว่างประเทศ ซึ่งกดดันราคาสินค้าและต้นทุนการผลิตให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นวงกว้าง และทำให้ในปีหน้ามีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง รวมถึงจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่กระทบต่อภาพการลงทุน
ขณะเดียวกันมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐยังซื้อขายในกรอบ Valuation ที่แพง เพราะมีค่าพี/อีระดับ 22 เท่า ประกอบกับบอนด์ยีลด์ที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง จะกดดันให้อัพไซด์ของตลาดมีจำกัด และเพิ่มความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับฐานแรงมีมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนในปีหน้าเต็มไปด้วยความท้าทายอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ในระยะข้างหน้า มองว่าเงินเฟ้อในสหรัฐมีแนวโน้มเร่งตัวโดยเฉพาะในหมวดราคาสินค้า ซึ่งเกิดจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. ผลกระทบจากสงครามการค้าตามนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าและการตั้งกำแพงภาษีตอบโต้กันของหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
2. การย้ายฐานการผลิตออกจากแหล่งที่มีต้นทุนต่ำ เช่น จีน เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษี ที่จะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
3. การลดดอกเบี้ยที่เร็วเกินไปของเฟดทำให้ภาวะการเงินและสภาพคล่องกลับมาผ่อนคลาย และอาจทำให้การบริโภคและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวขึ้นและเป็นสาเหตุให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นได้
ส่วนการลงทุนในปี’68 ยังคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากกว่าตลาด (Overweight) ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะคาดจะได้อานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลและการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ และแนะนำให้ปรับพอร์ตการลงทุนมาเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากทั้งภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น กลุ่มสถาบันการเงิน
รวมถึงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะจะได้ประโยชน์จากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า และค่าเงินเยนที่อ่อนค่ามักหนุนให้ผลตอบแทนตลาดหุ้นญี่ปุ่นออกมาดี
อย่างไรก็ตาม ในส่วนหุ้นในตลาดเกิดใหม่อาจต้องเผชิญแรงกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า บอนด์ยีลด์ที่ทรงตัวในระดับสูง และแรงกดดันเงินเฟ้อซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยในหลายประเทศ
นายคมศรกล่าวต่อว่า ด้านตลาดหุ้นไทยปีหน้า บล.ทิสโก้ให้เป้าหมายที่ 1,550 จุด หลัก ๆ มาจากเศรษฐกิจที่โตได้ดี แม้อัพไซด์ไม่เยอะ อย่างไรก็ตาม ยังให้ลดน้ำหนักการลงทุน (Underweight) ในตลาดหุ้นไทย เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้าและการเติบโตของกำไรที่ยังไม่ชัดเจนนัก
ส่วนเม็ดเงินกองทุน TESG คาดคงหนุนตลาดหุ้นได้ไม่มากเท่าไหร่นัก เพราะสามารถลงทุนได้หลายทรัพย์สิน ประกอบเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์คาดพอร์ตลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ซื้อไปหมดแล้ว รวมถึงต้นปีหน้าจะมีกองทุนรวม LTF ที่ครบกำหนดอายุทุกกอง ซึ่งสามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมด โดยปัจจุบันมีมูลค่ากองรวมคงเหลืออยู่ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
“มองตลาดหุ้นสหรัฐดีกว่าตลาดหุ้นไทย เพราะเห็นหุ้นไทยบางตัว 10 ปีไม่ขึ้นเลย และกำไร บจ.ก็ยังโตลำบาก แต่ตลาดหุ้นสหรัฐยังมีกำไรโตดีกว่า เพราะแค่นโยบายลดภาษีนิติบุคคลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทำให้กำไรตลาดเพิ่มขึ้นแล้ว” นายคมศรกล่าว
อ่านข่าวต้นฉบับ: ทิสโก้มองลงทุนปี’68 “หุ้นสหรัฐ-ญี่ปุ่น” เด่น ชี้เป้า SET ลุ้นแตะ 1,550 จุด